การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่พิเศษสำหรับทุกครอบครัว โดยเฉพาะบทบาทใหม่ของการเป็นแม่ ที่นอกจากความสุขและความตื่นเต้นแล้ว ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านสุขภาพหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาเกี่ยวกับความดันโลหิต น้ำหนัก และโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือ Gestational Diabetes Mellitus: GDM ที่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพทั้งแม่และทารกได้
สาเหตุ
เกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอ หรือไม่สามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนใหญ่เกิดจากฮอร์โมนต่าง ๆ ที่ร่างกายผลิตขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์
ปัจจัยเสี่ยง
- ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์เมื่ออายุมากกว่า 25 ปี
- มีน้ำหนักตัวเกินก่อนการตั้งครรภ์
- เคยมีปัญหาเบาหวานขณะตั้งครรภ์ในครั้งก่อน หรือมีประวัติเบาหวานในครอบครัว
- การตั้งครรภ์แฝด
- มีประวัติการคลอดทารกที่มีน้ำหนักเกิน 4,000 กรัม
- ความดันโลหิตสูงก่อนหรือระหว่างตั้งครรภ์
- เกิดภาวะที่ระบบเผาผลาญของร่างกายทำงานผิดปกติ
ผลกระทบ
ต่อแม่
- ความเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นเบาหวานประเภท 2 ในภายหลัง
- ความเสี่ยงในการเกิดปัญหาระหว่างคลอด เช่น ภาวะทารกตัวโต (Macrosomia) ซึ่งอาจทำให้คลอดยาก หรือต้องทำการผ่าคลอดทางหน้าท้อง (Cesarean section)
- ภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวกับการตั้งครรภ์
ต่อทารก
- ทารกในครรภ์มีน้ำหนักมาก ทำให้การคลอดยากและมีความเสี่ยงที่จะบาดเจ็บขณะคลอด
- ทารกจากแม่ที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์มีความเสี่ยงที่จะเกิดเบาหวานภายหลัง
- อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ทารกจะเสียชีวิตในครรภ์หรือหลังคลอด
- ทารกอาจมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจทันทีหลังคลอด เช่น กลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน (respiratory distress syndrome)
- อาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) ทันทีหลังคลอด และต้องได้รับการรักษาเพื่อปรับระดับน้ำตาลในเลือด
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes Mellitus: GDM) ทำผ่านการตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือด โดยมีขั้นตอนดังนี้
- การตรวจน้ำตาลเบื้องต้น
- ดื่มสารละลายกลูโคส 50 กรัม แล้วตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังจากนั้น 1 ชั่วโมง หากระดับน้ำตาลในเลือดมีค่าสูงกว่าที่กำหนด (เช่น 130-140 mg/dL หรือตามมาตรฐานของโรงพยาบาล) จะต้องผ่านการตรวจ การทดสอบความทนทานต่อน้ำตาลของร่างกาย
- การทดสอบความทนทานต่อน้ำตาล ของร่างกาย (Oral Glucose Tolerance Test: OGTT)
- งดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมงและเตรียมตัวสำหรับการทดสอบน้ำตาล
- เริ่มด้วยการวัดระดับน้ำตาลเบื้องต้น
- ดื่มสารละลายกลูโคส 100 กรัม
- ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดทุก ๆ 1 ชั่วโมง ภายใน 3 ชั่วโมง
- หากผลตรวจสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดตั้งแต่ 2 ค่าขึ้นไปหรือสูงกว่าค่าปกติตามมาตรฐานของโรงพยาบาล จะถือว่าภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์
ระดับน้ำตาลในเลือดที่ถือว่าผิดปกติขึ้นอยู่กับมาตรฐานของแต่ละแห่ง แต่ทั่วไปแล้ว การตรวจ OGTT จะใช้ค่าดังต่อไปนี้เป็นตัวชี้วัด
ระดับน้ำตาลเบื้องต้น 95 mg/dL หรือมากกว่า
ระดับน้ำตาลหลังดื่มสารละลายกลูโคส 1 ชั่วโมง 180 mg/dL หรือมากกว่า
ระดับน้ำตาลหลังดื่มสารละลายกลูโคส 2 ชั่วโมง 155 mg/dL หรือมากกว่า
ระดับน้ำตาลหลังดื่มสารละลายกลูโคส 3 ชั่วโมง 140 mg/dL หรือมากกว่า
การรักษา
- การควบคุมอาหาร
- ทานอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ แต่บ่อยครั้ง เช่น 3 มื้อหลักและ 2-3 มื้อว่าง
- แนะนำให้ทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผัก ผลไม้ และข้าวโพด
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ขนมหวาน
- เน้นอาหารที่มีโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ เต้าหู้
- หลีกเลี่ยงการทานไขมันที่ไม่ดี เช่น ไขมันทรานส์ ไขมันอิ่มตัว
- ควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว เส้น แป้ง
- ควรดื่มน้ำเปล่ามากขึ้น
- การออกกำลังกายเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดิน
- ตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดที่บ้านตามคำแนะนำของแพทย์ ปรับการทานอาหารและการใช้ยาตามระดับน้ำตาลในเลือด
- ยาและการฉีดอินซูลิน ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดไม่สามารถควบคุมได้ด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีการทานอาหารและการออกกำลังกาย แพทย์อาจแนะนำการใช้ยาหรือฉีดอินซูลิน สำหรับผู้ที่ต้องใช้อินซูลิน ต้องเรียนรู้วิธีการฉีดและการตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ
ท้ายที่สุด
ในการป้องกันควรทราบถึงปัจจัยเสี่ยง รวมถึงการรักษาและป้องกันภาวะอ้วน รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกาย ที่สำคัญ จะต้องคอยตรวจสอบและดูแลรักษาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ควบคู่กับการปรึกษาและรับคำแนะนำจากแพทย์ ทั้งหมดนี้สามารถลดความเสี่ยงและผลกระทบจากโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้