สิวที่สามารถกดได้ คือสิวที่เห็นหัวสิวชัดเจน และพร้อมจะหลุดออกมา ได้แก่ สิวหัวดำ สิวหัวขาวเปิด และสิวหัวหนอง สำหรับคนที่ยังไม่ถนัดในการกดสิว แนะนำให้ไปหาผู้เชี่ยวชาญ ห้ามกดเอง เพราะอาจจะทำให้เกิดรอยแผลเป็นได้ ในกรณีที่เป็นสิวอักเสบมาก อาจพบแพทย์เพื่อฉีดสิว ซึ่งจะช่วยลดอาการบวมและทำให้สิวยุบลง
เตรียมอุปกรณ์
- ที่กดสิวแบบมีห่วงตรงกลางและอีกด้านเป็นเข็ม
- น้ำร้อน
- ถุงมืออนามัย
- ผ้าสะอาดนุ่ม ๆ
- แอลกอฮอล์
- สำลี
การกดสิวอย่างถูกวิธี
- ล้างหน้าให้สะอาด
- ใช้ผ้าขนหนูสะอาดชุบน้ำอุ่น บิดหมาด ๆ แล้ววางบนผิวหน้าประมาณ 10 นาที เพื่อเปิดรูขุมขน
- แช่อุปกรณ์กดสิวในแอลกอฮอล์ประมาณ 10 นาที
- กดสิวทำมุม 45 องศากับผิว โดยให้หัวสิวอยู่ตรงกลางห่วง
- หลังจากกดสิวให้ใช้สำลีชุบน้ำเกลือล้างแผลเช็ด จากนั้นใช้ยาทารักษาสิวแต้ม
ดูแลหลังกดสิว
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารผลัดเซลล์ผิว โดยเฉพาะ AHA และ BHA เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจไปกระตุ้นให้ผิวเกิดการระคายเคือง และอาจทำให้ผิวเกิดการอักเสบมากขึ้น
- เลือกใช้ครีมที่ช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้น เกิดความสมดุล ลดการสูญเสียน้ำของผิว นอกจากนี้ยังช่วยฟื้นฟู ปกป้องผิวให้แข็งแรง และลดการอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ล้างหน้าเป็นประจำเช้า-เย็น และเปลี่ยนมาใช้เจลล้างหน้าสูตรอ่อนโยนแทนการใช้โฟมล้างหน้า
- กรณีที่เกิดรอยดำ รอยแดง แนะนำให้ใช้ครีมลดรอยแผลเป็น แต่ควรใช้หลังแผลกดสิวหายสนิทเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการระคายเคือง
ข้อควรระวังในการกดสิว
- การกดสิวมักจะมีเลือดหรือหนองออกมาด้วย ดังนั้นต้องใช้ผ้ากอซซับให้สะอาด ไม่ควรเช็ดวนไปทั่ว เพราะอาจทำให้ติดเชื้อที่บริเวณอื่นได้
- ให้ทำความสะอาดที่กดสิวด้วยแอลกอฮอล์ก่อนเก็บ
- ไม่ควรใช้นิ้วมือในการกด เพราะจะทำให้เป็นรอยช้ำ และทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อได้
ข้อสรุปสำคัญ
การกดสิวยังมีผลข้างเคียงที่ต้องคำนึง คือหากกดหัวสิวออกไม่หมด อาจทำให้เกิดสิวขึ้นซ้ำ และกลายเป็นสิวหัวหนองที่รักษายาก หรือถ้าลงน้ำหนักมากไป จะทำให้หน้าช้ำเกิดเป็นรอยดำตามมา และเกิดแผลเป็นจากสิว หรือรอยหลุมสิวได้ การดูแลอย่างถูกวิธี จะทำให้เนื้อเยื่อสมานตัวได้ดี ทำให้แผลสะอาด และหายเร็วขึ้น